มรดกโลก แห่งใหม่ 13 แห่ง
บนโลกอันน่าอัศจรรย์ใบนี้ มีสถานที่ทรงคุณค่ามากมายที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ทั้งสถานที่ทางธรรมชาติ ที่ถูกรังสรรค์ชิ้นงานด้วยธรรมชาติ และสถานที่ซึ่งสร้างขึ้นจากความเพียรของมนุษย์ โดยหลายแห่งหลายสิ่งต่างมีเอกลักษณ์ความพิเศษเฉพาะตัวที่เป็นเอกอุ ควรค่าแก่การอนุรักษ์เพื่อเป็นมรดกโลกของมวลมนุษยชาติสืบทอดไว้ให้ลูกหลานได้ชื่นชมต่อไปนั่นจึงทำให้ ทุกๆ ปี องค์การยูเนสโก (UNESCO) หรือ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้ประกาศมรดกโลกแห่งใหม่ให้โลกได้รับรู้
ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลก ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 22-30 มิ.ย. 52 ที่ผ่านมา ณ เมืองเซบีย่า ประเทศสเปน ได้ มรดกโลกแห่งใหม่ 13 แห่ง แบ่งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ 2 แห่ง และมรดกโลกทางวัฒนธรรม 11 แห่ง
มรดกโลกแห่งใหม่ทางธรรมชาติ
ทะเลวาดเดน-ครอบคลุมเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์
ทะเลวาดเดน จัดเป็นพื้นที่หนึ่งที่รัฐบาลของทั้งเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ร่วมมือกันป้องกันและอนุรักษ์ทะเลวาดเดนให้คงสภาพธรรมชาติเดิมไว้ พร้อมกับการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยไม่กระทบต่อระบบนิเวศน์ของเหล่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณทะเลวาดเดน
เทือกเขาโดโลไมท์-อิตาลี
มรดกโลกทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งของปีนี้คือ “เทือกเขาโดโลไมท์” (Dolomites Mountains) ตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ที่ทอดตัวอยู่ในเขตอิตาลีตอนเหนือ พื้นที่มากกว่า 140,000 เฮกตาร์ มีทัศนียภาพสวยงาม มีความหลากหลายของชนิดของหินต่างๆ และเป็นแหล่งอนุรักษ์ฟอสซิลที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
เทือกเขาโดโลไมท์ ครอบคลุมอาณาบริเวณของแคว้นทิโรลใต้ (Tirol South) และ แคว้นเวเนโต้(Veneto)เป็นเทือกเขาได้ชื่อว่าเป็นแนวเขาที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยลักษณะของยอดเขาต่างๆที่แทงยอดสูงเสียดฟ้า มีทัศนียภาพงดงาม จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของอิตาลี โดยช่วงฤดูหนาว เหล่าสกีรีสอร์ทต่างเปิดรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเทือกเขาแห่งนี้ ส่วนช่วงฤดูร้อน ที่นี่จะมีทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้สีสวยปรากฏตลอดจนเทือกเขามรดกโลกแห่งใหม่จากน้ำมือมนุษย์
อาคารสต๊อกเลต เฮาส์-เบลเยี่ยม
สำหรับมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของโลกปีนี้ ขอเริ่มกันที่ “อาคารสต๊อกเลต เฮาส์” (Stoclet House) อาคารรูปทรงเรขาคณิตในกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม ออกแบบโดย โจเซฟ ฮอฟมานน์ สถาปนิกชื่อดังชาวออสเตรีย ผู้บุกเบิกคนสำคัญของศิลปะแนวอาร์ตนูโวในประเทศเบลเยียม มีความโดดเด่นตรงที่เป็นสุดยอดอาคารสถาปัตยกรรมแบบเวียนนา ที่ยังได้รับการรักษาให้อยู่ในสภาพเดิม สร้างระหว่างปีค.ศ.1905-1911
ซากปรักหักพัง “โลโรเปนี” (Loropeni)
สถานที่ต่อมาคือ ซากปรักหักพัง “โลโรเปนี”(Loropeni) ประเทศบูร์กินาฟาโซ ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล สำหรับความสำคัญของโลโรเปนี คือ มีลักษณะเป็นป้อมโบราณที่ใช้หินขนาดใหญ่มากกว่า 100 ก้อนในการก่อสร้างที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ ตั้งอยู่ในพรมแดนโกดิวัวต์ กานา และโตโก อายุมากกว่า 1,000 ปี
เมืองโบราณซีดาเด-เคปเวิร์ด
มาที่อีกหนึ่งประเทศในแอฟริกา “เมืองโบราณซีดาเด”(Cidade Velha) ศูนย์กลางประวัติศาสตร์เมือง Ribeira Grande ตั้งอยู่ในประเทศเคปเวิร์ด ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเกาะ โดยเมืองโบราณแห่งนี้จัดเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดของเกาะเคปเวิร์ด ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Cidade Velha ในปลายศตวรรษที่ 18 เป็นเมืองที่ผังเมืองยอดเยี่ยมในยุคเริ่มต้นการแผ่อาณานิคมของยุโรป มีทั้งโบสถ์ และลานหินอ่อนที่เป็นสุดยอดศิลปะ
ภูเขาอู่ไถซัน-จีน
สุสานหลวงแห่งราชวงศ์โชซอน-เกาหลีใต้
ชูสตร้า-อิหร่าน
ด้าน “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สุลาเมน”( Sulamain)ประเทศคีร์กีซสถาน หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม และเป็นเทือกเขาโบราณสำคัญของนักเดินทางบนเส้นทางสายไหม ก็เป็นมรดกโลกแห่งใหม่ด้วยเช่นกัน
เมืองศักดิ์สิทธิ์คาเรล ซูฟ-เปรู
“ประภาคารเฮอร์คิวลิส” (Tower of Hercules)
เมืองลาโชซ์-เดอฟองด์-สวิตเซอร์แลนด์
สะพานส่งน้ำพอนต์ซิซิลเต-อังกฤษ
อุทยานธรรมชาติปะการังทับบาตาฮา
พร้อมกันนี้ทางยูเนสโกได้เพิ่มรายชื่อของ “อุทยานธรรมชาติปะการังทับบาตาฮา”( Tubbataha )ของฟิลิปปินส์เป็นส่วนขยายจากอุทยานทางทะเลทับบาตาฮา ซึ่งเป็นมรดกโลกไปก่อนหน้านี้ เพื่อความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
“หุบเขาเดรสเดน เอลเบ” (Dresden Elbe)
ส่งท้ายด้วยเรื่องเศร้าที่ทางยูเนสโกได้ประกาศถอดถอน “หุบเขาเดรสเดน เอลเบ” (Dresden Elbe ) ทางฝั่งตะวันออกของเยอรมนี ออกจากบัญชีมรดกโลก หลังจากที่รัฐบาลเยอรมนี มีแผนก่อสร้างสะพานคอนกรีตกับเหล็กกล้าความกว้างขนาดถนน 4 เลน ระยะทาง 600 เมตร ตัดใจกลางหุบเขา นับว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
………………………………………………
มรดกโลกแห่งใหม่ 13 แห่ง
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก :http://blog.spu.ac.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น