วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก



เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ สังคม ที่ไม่อำนวย ส่งผลให้ความรวยเข้าไม่ถึง

อันดับ 10. Ethiopia
รายได้ต่อหัวต่อปี 700 เหรียญสหรัฐ
10 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก
ประเทศ เอธิโอเปีย อยู่ในอันดับที่ 170 จาก 177 ของดัชนีประเทศยากจน ครึ่งหนึ่งของผลผลิตมวลรวมขึ้นอยู่กับภาคการเกษตร เนื่องจากขาดแคลนเทคโนโลยี ใช้วิธีเพาะปลูกที่ล้าสมัย จึงทำให้ผลผลิตในภาคการเกษตรต่ำลงและผลมาจากสภาพอากาศไม่อำนวย 50% ของประชากรจำนวน 74.7 ล้านคน มีฐานะยากจน อีก 80% มีชีวิตรอดด้วยการขอรับบริจาคอาหาร ผู้ชายเพียง 47 % และผู้หญิง 31 % ที่สามารถอ่านออกเขียนได้ ประชากรบางส่วนของ เอธิโอเปีย มีความเสี่ยงต่อ ตับอักเสบ A, ตับอักเสบ E, ไข้ไทรอยด์, มาลาเรีย, โรคพิษสุนัขบ้า, เยื่อหุ้มสมองอักเสบม และ schistosomiasis
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 9. Niger
รายได้ต่อหัวต่อปี 700 เหรียญสหรัฐ
ไนเจอร์ หนึ่งใน ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก มีประชากร 12.5 ล้านคน ฝน คือ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนอาหาร 63% ของประชากร อาศัยอยู่ด้วยเงินจำนวนต่ำกว่า 1 เหรียญสหรัฐต่อวัน ผู้ใหญ่สามารถอ่านออกเขียนได้เพียง 15% ผู้คนส่วนมากเสียชีวิตจาก ตับอักเสบ A, ท้องร่วง, มาลาเรีย, ไข้สมองอักเสบ, และไข้ไทรอยด์
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 8. Central African Republic
รายได้ต่อหัวต่อปี 700 เหรียญสหรัฐ
สาธารณรัฐอัฟริกากลาง อยู่ในลำดับที่ 171 ของประเทศยากจน เกษตรกรรมคืออาชีพหลักที่พยุงเศรษฐกิจ ประชากรมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเอดส์
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 7. Guinea-Bissau
รายได้ต่อหัวต่อปี 600 เหรียญสหรัฐ
ประเทศ กีนี บิสเซา ชื่ออาจไม่คุ้น แต่รู้ไว้ว่าพี่เค้ายากจนอันดับที่ 172 อาชีพสำคัญคือการทำไร่และประมง รายได้ของประชากรไม่เท่ากัน ต่างกันไปตามแต่ละภาคของประเทศ ประมาณ 10% ของผู้ใหญ่มีความเสี่ยงต่อโรคเอดส์
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 6. Union of the Comoros
รายได้ต่อหัวต่อ ปี 600 เหรียญสหรัฐ
สหภาพโคโมโรส ประชากรส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ จึงส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจย่ำแย่ และด้วยความหนาแน่นของประชากร 1,000 คนต่อตารางกิโลเมตร เป็นผลให้สภาพแวดล้อมวิกฤต กระทบต่อการเกษตร ประมาณ 40% มีระดับการศึกษาต่ำ ทำให้ขาดแคลนแรงงานที่มีศักยภาพ สรุปความเป็นอยู่ของผู้คนขึ้นอยู่กับเงินช่วยเหลือจากนานาชาติ!
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 5. Republic of Somalia
รายได้ต่อหัวต่อปี 600 เหรียญสหรัฐ
ภาคการเกษตรคือหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ แห่ง สาธารณรัฐโซมาเลีย ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแอฟริกา ประชากรส่วนใหญ่เร่ร่อน อยู่ไม่เป็นที่ อาชีพหลัก คือ การทำปศุสัตว์ อุตสาหกรรมทางการเกษตรให้ผลผลิตมวลรวมเพียง 10% ของทั้งหมด
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 4. The Solomon Islands
รายได้ต่อหัวต่อปี 600 เหรียญสหรัฐ
หมู่เกาะโซโลมอน เป็นประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ เศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการประมงเป็นหลัก กว่า 75% ของแรงงานประกอบอาชีพประมง ไม้คืออุตสาหกรรมหลักมาจนถึง ค.ศ. 1998 กระทั่งน้ำมันปาล์กับมะพร้าว กลายเป็นสินค้าส่งออก หมู่เกาะโซโลมอล มีแร่ธาตุมากมาย เช่น สังกะสี ตะกั่ว ทองคำ และนิกเกิล
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 3. Republic of Zimbabwe
รายได้ต่อหัวต่อปี 500 เหรียญสหรัฐ
อีกหนึ่งที่ยกให้เป็น ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก สาธารณรัฐซิมบัพเว ตั้งอยู่ระหว่าง แม่น้ำ Limpopo และ Zabezi ในแอฟริกาใต้ เศรษฐกิจหยุดชะงักเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ บวกกับขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ รวมถึงการที่ ซิมบัพเว ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจทรุดตัวของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ทำให้อัตราการตกงานของประชากรสูงถึง 80%
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 2. Republic of Liberia
รายได้ต่อหัวต่อปี 500 เหรียญสหรัฐ
สาธารณรัฐไลบีเรีย อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแอฟริกา 1 ใน 10 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก เหตุเพราะการส่งออกพืชผลที่ลดลง นักลงทุนหดหาย ขโมยชุม คนรุมแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรเพชรอย่างไม่ยุติธรรม และการค้ากำไรเกินควรในช่วงสงครามกลางเมือง ค.ศ. 1990 ทำให้เศรษฐกิจของ ไลบีเรีย ทรุดตัว ส่งผลให้การกู้เงินจากต่างประเทศมีมากกว่าผลผลิตมวลรวม
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 1. Republic of the Congo
 รายได้ต่อหัวต่อปี 300 เหรียญสหรัฐ
มาถึง ประเทศที่ยากจนที่สุดของโลก กับ สาธารณรัฐคองโก ประเทศแถบแอฟริกากลาง ที่อดอยากยากแค้น เพราะการเสื่อมค่าของเงินฟรังค์ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มระดับสูง ใน ปี ค.ศ. 1994 ความวุ่นวายจากสงครามกลางเมือง และราคาน้ำมันที่ตกต่ำใน ปี ค.ศ. 1998 ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศย่อยยับ
ข้อมูล : www.hottnez.com เรียบเรียง : travel.mthai.com

แวนคูเวอร์

แวนคูเวอร์ เป็นเมืองท่าชายฝั่งที่มีชื่อเสียง และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศแคนาดา มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.2 ล้านคน  ภูมิประเทศที่ประกอบไปด้วยมหาสมุทรและหุบเขา

แวนคูเวอร์ แคนาดา

แม้จะไม่ใช่เมืองหลวงของมณฑลบริติชโคลัมเบีย (British Columbia) แต่แวนคูเวอร์ก็เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากเมืองหนึ่ง ด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ โอบล้อมไปด้วยภูเขาและทะเล อากาศอบอุ่นสบายทั้งปีพร้อมด้วยระบบขนส่งขนมวลชนที่ดีเยี่ย ทั้งยังเป็นเมืองที่สะอาดและปลอดภัย 

แวนคูเวอร์ แคนาดา

เมืองแวนคูเวอร์ เคยได้รับกาจัดอันดับจากหน่วยอีไอยู ของนิตยสาร “เดอะ อีโคโนมิสต์” ให้เป็นแชมป์เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก โดยการผลสำรวจเพื่อจัดอันดับอิง 5 ปัจจัยสำคัญ คือด้านสาธารณสุข เสถียรภาพ วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม การศึกษาและสาธารณูปโภคต่างๆ 

แวนคูเวอร์ แคนาดา

แวนคูเวอร์ แคนาดา

ผู้คนในแวนคูเวอร์จึงมีวิถีการดำเนินชีวิตที่ทันสมัยและไม่เหมือนใคร มีย่านธุรกิจที่มีชื่อเสียง ที่นี่มีร้านอาหาร ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลก มีร้านกาแฟบรรยากาศดีแลมีห้างสรรพสินค้ามากมายเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้ง นอกจากนั้นเทศกาลต่างๆ อาทิเช่น เทศกาลทางศิลปะ วัฒนธรรม อาทิเช่น เทศกาลดนตรี เทศกาลดอกไม้ไฟ งานแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ ก็ถูกจัดขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติ ที่อาศัยอยู่ในเมืองได้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เป็นประจำ


วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ประเทศที่น่าเห็นใจ สุดแร้นแค้น เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ สังคม ที่ไม่อำนวย ส่งผลให้ความรวยเข้าไม่ถึง


ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก

อันดับ 10. Ethiopia
รายได้ต่อหัวต่อปี 700 เหรียญสหรัฐ
10 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก
ประเทศ เอธิโอเปีย อยู่ในอันดับที่ 170 จาก 177 ของดัชนีประเทศยากจน ครึ่งหนึ่งของผลผลิตมวลรวมขึ้นอยู่กับภาคการเกษตร เนื่องจากขาดแคลนเทคโนโลยี ใช้วิธีเพาะปลูกที่ล้าสมัย จึงทำให้ผลผลิตในภาคการเกษตรต่ำลงและผลมาจากสภาพอากาศไม่อำนวย 50% ของประชากรจำนวน 74.7 ล้านคน มีฐานะยากจน อีก 80% มีชีวิตรอดด้วยการขอรับบริจาคอาหาร ผู้ชายเพียง 47 % และผู้หญิง 31 % ที่สามารถอ่านออกเขียนได้ ประชากรบางส่วนของ เอธิโอเปีย มีความเสี่ยงต่อ ตับอักเสบ A, ตับอักเสบ E, ไข้ไทรอยด์, มาลาเรีย, โรคพิษสุนัขบ้า, เยื่อหุ้มสมองอักเสบม และ schistosomiasis
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 9. Niger
รายได้ต่อหัวต่อปี 700 เหรียญสหรัฐ
ไนเจอร์ หนึ่งใน ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก มีประชากร 12.5 ล้านคน ฝน คือ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนอาหาร 63% ของประชากร อาศัยอยู่ด้วยเงินจำนวนต่ำกว่า 1 เหรียญสหรัฐต่อวัน ผู้ใหญ่สามารถอ่านออกเขียนได้เพียง 15% ผู้คนส่วนมากเสียชีวิตจาก ตับอักเสบ A, ท้องร่วง, มาลาเรีย, ไข้สมองอักเสบ, และไข้ไทรอยด์
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 8. Central African Republic
รายได้ต่อหัวต่อปี 700 เหรียญสหรัฐ
สาธารณรัฐอัฟริกากลาง อยู่ในลำดับที่ 171 ของประเทศยากจน เกษตรกรรมคืออาชีพหลักที่พยุงเศรษฐกิจ ประชากรมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเอดส์
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 7. Guinea-Bissau
รายได้ต่อหัวต่อปี 600 เหรียญสหรัฐ
ประเทศ กีนี บิสเซา ชื่ออาจไม่คุ้น แต่รู้ไว้ว่าพี่เค้ายากจนอันดับที่ 172 อาชีพสำคัญคือการทำไร่และประมง รายได้ของประชากรไม่เท่ากัน ต่างกันไปตามแต่ละภาคของประเทศ ประมาณ 10% ของผู้ใหญ่มีความเสี่ยงต่อโรคเอดส์
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 6. Union of the Comoros
รายได้ต่อหัวต่อ ปี 600 เหรียญสหรัฐ
สหภาพโคโมโรส ประชากรส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ จึงส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจย่ำแย่ และด้วยความหนาแน่นของประชากร 1,000 คนต่อตารางกิโลเมตร เป็นผลให้สภาพแวดล้อมวิกฤต กระทบต่อการเกษตร ประมาณ 40% มีระดับการศึกษาต่ำ ทำให้ขาดแคลนแรงงานที่มีศักยภาพ สรุปความเป็นอยู่ของผู้คนขึ้นอยู่กับเงินช่วยเหลือจากนานาชาติ!
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 5. Republic of Somalia
รายได้ต่อหัวต่อปี 600 เหรียญสหรัฐ
ภาคการเกษตรคือหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ แห่ง สาธารณรัฐโซมาเลีย ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแอฟริกา ประชากรส่วนใหญ่เร่ร่อน อยู่ไม่เป็นที่ อาชีพหลัก คือ การทำปศุสัตว์ อุตสาหกรรมทางการเกษตรให้ผลผลิตมวลรวมเพียง 10% ของทั้งหมด
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 4. The Solomon Islands
รายได้ต่อหัวต่อปี 600 เหรียญสหรัฐ
หมู่เกาะโซโลมอน เป็นประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ เศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการประมงเป็นหลัก กว่า 75% ของแรงงานประกอบอาชีพประมง ไม้คืออุตสาหกรรมหลักมาจนถึง ค.ศ. 1998 กระทั่งน้ำมันปาล์กับมะพร้าว กลายเป็นสินค้าส่งออก หมู่เกาะโซโลมอล มีแร่ธาตุมากมาย เช่น สังกะสี ตะกั่ว ทองคำ และนิกเกิล
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 3. Republic of Zimbabwe
รายได้ต่อหัวต่อปี 500 เหรียญสหรัฐ
อีกหนึ่งที่ยกให้เป็น ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก สาธารณรัฐซิมบัพเว ตั้งอยู่ระหว่าง แม่น้ำ Limpopo และ Zabezi ในแอฟริกาใต้ เศรษฐกิจหยุดชะงักเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ บวกกับขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ รวมถึงการที่ ซิมบัพเว ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจทรุดตัวของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ทำให้อัตราการตกงานของประชากรสูงถึง 80%
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 2. Republic of Liberia
รายได้ต่อหัวต่อปี 500 เหรียญสหรัฐ
สาธารณรัฐไลบีเรีย อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแอฟริกา 1 ใน 10 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก เหตุเพราะการส่งออกพืชผลที่ลดลง นักลงทุนหดหาย ขโมยชุม คนรุมแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรเพชรอย่างไม่ยุติธรรม และการค้ากำไรเกินควรในช่วงสงครามกลางเมือง ค.ศ. 1990 ทำให้เศรษฐกิจของ ไลบีเรีย ทรุดตัว ส่งผลให้การกู้เงินจากต่างประเทศมีมากกว่าผลผลิตมวลรวม
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 1. Republic of the Congo
 รายได้ต่อหัวต่อปี 300 เหรียญสหรัฐ
มาถึง ประเทศที่ยากจนที่สุดของโลก กับ สาธารณรัฐคองโก ประเทศแถบแอฟริกากลาง ที่อดอยากยากแค้น เพราะการเสื่อมค่าของเงินฟรังค์ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มระดับสูง ใน ปี ค.ศ. 1994 ความวุ่นวายจากสงครามกลางเมือง และราคาน้ำมันที่ตกต่ำใน ปี ค.ศ. 1998 ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศย่อยยับ
ข้อมูล : www.hottnez.com เรียบเรียง : travel.mthai.com

คนทั่วโลกอยากอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ มากที่สุด


ผลสำรวจผู้คนทั่วโลกพบว่า ประเทศที่มีคนอยากอพยพเข้าไปอาศัยอยู่มากที่สุด คือสหรัฐอเมริกา และประชากรจากประเทศจีนถือเป็นผู้อพยพกลุ่มใหญ่ที่สุดที่ย้ายเข้าไปอาศัยในสหรัฐฯ

ผลสำรวจล่าสุดซึ่งจัดทำโดยบริษัทแกลลัป เรื่องแนวโน้มการอพยพย้ายถิ่นทั่วโลก จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 450,000 คน จาก 151 ประเทศ ซึ่งมีการวิเคราะห์ผลว่า มีคนที่ต้องการย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ มากถึง 150 ล้านคน โดยชาวจีนต้องการอพยพเข้าไปยังสหรัฐฯ มากที่สุดถึง 22 ล้านคน ตามมาด้วยชาวไนจีเรีย และชาวอินเดีย

สาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ เป็นเป้าหมายที่คนทั่วโลกจับจ้องและต้องการย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น เป็นเพราะโอกาสเป็นสิ่งดึงดูดใจสำหรับผู้ที่มีศักยภาพและคุณสมบัติเข้ากับหลักเกณฑ์ของทางการสหรัฐฯ เนื่องจากพวกเขาต้องการแสวงหาโอกาสในหลายๆ ด้าน ซึ่งรวมไปถึงการแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี และความมั่นใจว่าบุตรหลานของพวกเขาจะไม่ถูกกลั่นแกล้ง

แม้ว่าประเทศจีนจะมีระดับการพัฒนาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ชาวจีนอพยพไปอาศัยในต่างประเทศมากขึ้น เป็นเพราะความรู้สึกไม่มั่นคง ในการดำรงชีวิต ซึ่งพวกเขากังวลเกี่ยวกับคุณภาพอากาศและความปลอดภัยของอาหารในประเทศจีน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวโน้มการอพยพของชาวจีนเข้าไปอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ มีสัดส่วนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลล่าสุดระบุว่า เมื่อปีที่ผ่านมา มีชาวจีนอพยพเข้าไปในสหรัฐฯ มากถึง 87,000 คน คิดเป็นร้อยละ 8.2 ของจำนวนผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ ทั้งหมดในปี 2554

อย่างไรก็ตาม อเมริกันดรีม หรือความใฝ่ฝันของชาวอเมริกันในเรื่องโอกาสที่เท่าเทียมกัน อาจส่งผลให้ผู้ที่อพยพไปในสหรัฐฯ ต้องประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจ ในภาวะที่สหรัฐฯ ยังไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ตกต่ำมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว
 








วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

Florence เมืองหลวงของแคว้นทัสกานีที่มีการดึงดูดผู้อพยพจำนวนมากก

ทัสกานี (อังกฤษTuscany) หรือ ตอสกานา (อิตาลีToscana) เป็นหนึ่งใน 20 แคว้นของสาธารณรัฐอิตาลี ซึ่งมีเมืองฟลอเรนซ์(ฟีเรนเซ) เป็นเมืองหลวง  มีเนื้อที่ทั้งหมด 22,990 ตารางกิโลเมตร และมีผู้คนอาศัยอยู่ 3.6 ล้านคน



ทัสกานี
Regione Toscana
เรโจเน ตอสกานา
ธงประจำแคว้นทัสกานีตราประจำแคว้นทัสกานี
ภูมิศาสตร์
ประเทศธงชาติของอิตาลี สาธารณรัฐอิตาลี
สถานะแคว้นของสาธารณรัฐอิตาลี
พิกัดภูมิศาสตร์พิกัดภูมิศาสตร์43°24′36″N 11°00′00″E
เมืองหลวงฟลอเรนซ์ (ฟีเรนเซ)
ภาคภาคกลาง
จังหวัด10
ลำดับ5 (7.6 %)
พื้นที่22,990 กม.²
เมือง287
ประชากร (พ.ศ. 2549 โดยประมาณ)
ทั้งหมด3,619,872
ลำดับ9 (6.1 %)
ความหนาแน่น157/กม.²
อื่น ๆ
ประธานาธิบดีเกลาดีโอ มาร์ตีนี [1]นื้อที่ทั้งหมด 22,990 ตารางกิโลเมตร และมีผู้คนอาศัยอยู่ 3.6 ล้านคน 

Tuscany in Italy.svg


ภูมิศาสตร์


แคว้นทัสกานีเป็นแคว้นในภาคกลางของประเทศอิตาลี ติดกับแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญาทางเหนือ แคว้นลิกูเรียทางตะวันตกเฉียงเหนือ แคว้นอุมเบรียและแคว้นมาร์เกทางตะวันออก แคว้นลาซีโอทางตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนทางตะวันตกติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แคว้นทัสกานีมีพื้นที่สองในสามส่วนเป็นที่ราบสูง และ เศษหนึ่งส่วนสี่ที่เป็นภูเขา ส่วนที่เหลือเป็นที่ราบที่ก่อกำหนดหุบเขาของแม่น้ำอาร์โน
Provinces of Tuscany map.png

สถิติประชากร



ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 และ 1990 แคว้นได้ดึงดูดผู้อพยพจำนวนมาก โดยเฉพาะจากประเทศจีนและทวีปแอฟริกาเหนือ นอกจากนี้ยังมีชุมชนของชาวอังกฤษและชาวอเมริกันอยู่ด้วยอย่างปรากฏเห็นได้ชัด
เมืองต่าง ๆ ของแคว้นทัสกานีที่มีประชากร 50,000 คนหรือมากกว่า :
เมืองประชากร (ในปี 2549)
ฟลอเรนซ์366,901
ปราโต183,823
ลีวอร์โน160,534
อาเรซโซ95,229
ปิซา87,737
ปิสโตยา85,947
ลุคคา84,422
กรอสเซโต81,301
มัสซา69,399
ดาร์รารา65,125
เวียเรจจีโอ63,389
เซียนนา54,147
สกานดิชชี50,003



ภาพบ้านสมัยยุคสำริดที่ปอปปูโลเนีย แคว้นทัสกานี

แผนที่โบราณของศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมืองปิซา

เมืองทัสกานีในปัจจุบัน




วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

เหลือเชื่อ! ราคาที่ดิน ‘ถูกที่สุด’ ในประเทศไทย ตร.ว.ละ 10 บาท


เป็นประจำทุกๆ 3 ปี กรมธนารักษ์ จะต้องเผยราคาประเมินที่ดินใหม่ อย่างล่าสุด เตรียมประกาศบังคับใช้ราคาประเมินที่ดินใหม่รอบบัญชีปี 2555-2558 ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 หลังจากถูกเลื่อนมากว่า 6 เดือน เนื่องจากเหตุอุทกภัย
หากเปรียบเทียบกับราคาประเมินที่ดินรอบบัญชีปี 2551-2554 จะเห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมทั่วประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 21.34 เฉพาะกรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลงร้อยละ 17.13 ภูมิภาคร้อยละ 21.40 ส่วนการแยกเป็นภาคต่างๆ พบว่า ภาคใต้มีการเปลี่ยนแปลงสูงสุดที่ร้อยละ 32.25 ภาคตะวันออกร้อยละ 26.04 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 22.58 ภาคเหนือร้อยละ 14.84 ภาคตะวันตกร้อยละ 15.55 และภาคกลางร้อยละ 12.90
ก่อนจะไปทราบราคาประเมินที่ดินใหม่ ว่า บริเวณใดของจังหวัดไหนแพงริบลิ่ว ลองทราบราคาที่ถูกที่สุดกันก่อน โดยสาเหตุที่ทำให้มีราคาไม่มากนั้น มักเป็นเพราะมีลักษณะเป็นที่ดินตาบอด หรือไม่มีทางเข้า-ออก
และครั้งนี้ พบว่า ราคาประเมินที่ดิน ราคาต่ำสุดในประเทศอยู่ที่ 10 บาท/ตารางวา ซึ่งก็คือ อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี และที่อำเภอดอยหล่อ แม่แจ่ม และกัลยาณิวัฒนา ของจังหวัดเชียงใหม่ อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่กรุงเทพฯ ราคาต่ำสุดอยู่ที่ "เขตบางขุนเทียน" เป็นที่ดินบริเวณชายทะเล อยู่ที่ 500 บาท/ตารางวา
สำหรับราคาต่ำสุดในแต่ละภูมิภาค เริ่มจาก "ภาคใต้" อยู่ที่ 25 บาท/ตารางวา พื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา "ภาคตะวันออก" ราคาอยู่ที่ 25 บาท/ตารางวา มี 2 จังหวัด คือ อำเภอขลุง อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี และอำเภอตาพระยา และอำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว
"ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" ราคา 25 บาท/ตารางวา มี 2 จังหวัด ประกอบด้วย 4 อำเภอ ของจังหวัดมุกดาหาร ที่อำเภอเมือง อำเภอนิคมคำสร้อย อำเภอคำชะอี และอำเภอดงหลวง และ 2 อำเภอ ของจังหวัดอุบลราชธานี ที่อำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอกุดข้าวปุ้น "ภาคตะวันตก" ราคาอยู่ที่ 20 บาท/ตารางวา ที่อำเภอสังขละบุรี และอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
ด้านราคาประเมินแพงริบลิ่ว หนีไม่พ้นย่านใจกลางเมืองกรุง แชมป์รอบนี้อยู่ที่ "ถนนสีลม" จากแยกศาลาแดง-แยกนราธิวาสราชนครินทร์ 850,000 บาท/ตารางวา เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จากตารางวาละ 650,000 บาท
ขณะที่ "ถนนราชดำริ" ตั้งแต่แยกราชประสงค์-คลองแสนแสบ และ "ถนนพระรามที่ 1" ตั้งแต่แยกปทุมวัน-แยกราชประสงค์มีราคา 800,000 บาท/ตารางวา จากเดิมตารางวาละ 350,000 บาท
ตลอดสายของ "ถนนเพลินจิต" ขยับเพิ่มจาก 430,000 บาท/ตารางวา เป็น 800,000 บาท "ถนนราชดำริ" จากแยกศาลาแดง-แยกราชประสงค์ จาก 350,000 บาท/ตารางวา เป็น 700,000 บาท และ "ถนนเยาวราช" ตลอดสาย จาก 550,000 บาท/ตารางวา เป็น 700,000 บาท
ในต่างจังหวัดที่ดินราคาขยับแพงสูงสุด คือ "ภาคใต้" ราคา 400,000 บาท/ตารางวา ที่ถนนนิพัทธ์อุทิศ 3 ถนนประชาธิปัตย์ และถนนเสน่หานุสรณ์ ในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
ตามด้วย "ภาคเหนือ" 250,000 บาท/ตารางวา ติดถนนวิชยานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ "ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" 200,000 บาท/ตารางวา ติดถนนศรีจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
"ภาคกลาง" 150,000 บาท/ตารางวา ประกอบด้วย 2 จังหวัด คือ นนทบุรี ติดถนนงามวงศ์วาน และอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ติดถนนศรีสมุทร ถนนประโคนชัย ถนนด่านเก่า และถนนกายสิทธิ์หรือตลาดปากน้ำ
และ "ภาคตะวันออก" มีราคา 150,000 บาท/ตารางวา บริเวณถนนเลียบหาดพัทยา (ถนนพัทยาสาย 1) อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี "ภาคตะวันตก" 150,000 บาท/ตารางวา เป็นที่ดินติดชายทะเล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

โมนาโก ครองแชมป์ราคาอสังหาริมทรัพย์แพงที่สุดในโลก

โมนาโก ครองแชมป์ราคาอสังหาริมทรัพย์แพงที่สุดในโลก ด้วยราคาที่ดินตารางฟุตละ 5,350 - 5,920 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 160,000 - 180,000 บาท) ตามมาด้วย ฮ่องกง ลอนดอน เจนีวา และปารีส

            เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ไนท์แฟรงก์ ได้จัดอันดับเมืองที่มีอสังหาริมทรัพย์แพงที่สุดในโลก โดย ประเมินจากตัวชี้วัด 4 อย่าง ประกอบด้วย ความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจในประเทศ อิทธิพลทางการเมือง คุณภาพชีวิตและการศึกษา และ ความมีเสน่ห์ พบว่า เมืองที่มีราคาของอสังหาริมทรัพย์แพงที่สุดในโลกก็คือ โมนาโก ซึ่ง มีราคาของที่ดินต่อตารางฟุตอยู่ที่ 5,350 - 5,920 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 160,000 - 180,000 บาท) ขณะที่ ฮ่องกง มีค่าอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ตารางฟุตละ 4,570 - 5,050 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 135,000 - 150,000 บาท) ส่วนทั้ง 10 อันดับเมืองที่มีราคาอสังหาริมทรัพย์แพงที่สุดในโลก ได้แก่


1. โมนาโก (Monaco) 5,350 - 5,920 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 160,000 - 180,000 บาท) ต่อตารางฟุต

2. ฮ่องกง (Hong Kong) 4,570- 5,050 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 135,000 - 150,000 บาท) ต่อตารางฟุต


3. ลอนดอน (London) 3,890- 4,300 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 115,000 - 127,000 บาท) ต่อตารางฟุต


4. เจนีวา (Geneva) 2,720- 3,010 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 81,000 - 89,000 บาท) ต่อตารางฟุต

5. ปารีส (Paris) 2,350- 2,600 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 70,000 - 77,000 บาท) ต่อตารางฟุต


6. สิงคโปร์ (Singapore) 2,340- 2,580 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 69,000 - 77,000 บาท) ต่อตารางฟุต


7. มอสโก (Moscow) 2,040- 2,260 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 61,000 - 67,000 บาท) ต่อตารางฟุต


8. นิวยอร์ก (New York) 2,030- 2,240 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 60,000 - 67,000 บาท) ต่อตารางฟุต


9. ซิดนีย์ (Sydney) 2,020- 2,230 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 60,000 - 66,000 บาท) ต่อตารางฟุต

10. เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) 1,820- 2,020 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 54,000 - 60,000 บาท) ต่อตารางฟุต

            นอก จากนี้ ยังมีอีก 2 เมืองที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ก็คือ กรุงจาการ์ตา และ บาหลี ของประเทศอินโดนีเซีย ที่มีราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ถึง 38% และ 21% ตามลำดับ เนื่องมาจากการเพิ่มจำนวนของชนชั้นกลางซึ่งส่งผลต่อปริมาณการซื้อ ขายอสังหาริมทรัพย์ โดย ไนท์แฟรงก์ ได้คาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ. 2022 ประเทศอินโดนีเซียน่าจะมีปริมาณของผู้ที่ร่ำรวยกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 900 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นกว่าปัจจุบันอีกเท่าตัวเลยทีเดียว